วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556

โรคมะเร็งในช่องปาก ข้อควรรู้และไม่ควรมองข้าม


โรค มะเร็งในช่องปากสามารถพบได้ 1 ใน 10 ทั้งชายและหญิง และพบได้ 3-5% ของโรคมะเร็งในช่องปากที่เกิดขึ้นทั่วร่างกาย ซึ่งพบได้ในผู้ใหญ่ตั้งแต่วัยกลางคนขึ้นไปสามารถเป็นโรคมะเร็งในช่องปากได้

โรคมะเร็งในช่องปาก ข้อควรรู้และไม่ควรมองข้าม

หลายคนอาจไม่ทราบถึง โรคมะเร็งในช่องปาก นั้นเป็นอย่างไร เรามาทำความรู้จักกับโรคนี้ให้ดีกันดีกว่าค่ะ

มะเร็งช่องปากคืออะไร?
มะเร็งช่องปากเป็นส่วนหนึ่งของโรคมะเร็งในกลุ่มโรคมะเร็งศีรษะและลำคอ ซึ่งประมาณ 90-95% ของมะเร็งช่องปากจะเป็นชนิด สะความัส (Squamous cell carcinoma) หรือเรียกย่อว่าชนิด เอสซีซี (SCC) สำหรับมะเร็งชนิดอื่นๆ เช่น มะเร็งชนิดอะดีโนคาร์ซิโนมา (Adenocarci noma) หรือ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง พบได้น้อยมากๆ ดังนั้น ในบทความนี้ จึงกล่าวถึงเฉพาะมะเร็งช่องปากชนิด เอสซีซี เท่านั้น
มะเร็งช่องปากพบในใคร?
โรคมะเร็งช่องปากพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และพบมากในอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปโดย เฉพาะในผู้สูงอายุ อะไรเป็นสาเหตุของมะเร็งช่องปาก?
ปัจจุบัน ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคมะเร็งช่องปาก แต่มีการศึกษาพบว่ามีปัจจัยบางอย่างเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค ได้แก่
  • การสูบบุหรี่
  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์/เครื่องดื่มมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
อนึ่ง เมื่อทั้งสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะมีโอกาสเป็นมะเร็งในช่องปากได้สูงกว่าคนปกติถึงประมาณ 15 เท่า และประมาณ 90% ของผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก เป็นผู้มีประวัติสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • การกิน/เคี้ยว หมาก พลู ยาฉุน ยาเส้น เนื่องจากสิ่งต่างๆเหล่านี้ มีสารก่อมะเร็งเจือปนอยู่
  • การ ระคายเคืองของเยื่อเมือกบุช่องปากจากฟันหัก/บิ่น ที่แหลมคมที่ไม่ได้รับการรักษาฟันผุจนทำให้เหงือกเป็นหนอง เพราะทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังร่วมกับการระคายเคืองที่เกิดขึ้นซ้ำๆนานๆ เซลล์ของเยื่อเมือกบุช่องปากจึงอาจเกิดการเปลี่ยนแปลง กลายไปเป็นเซลล์มะเร็งได้
  • การ ติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัสเอชพีวี (HPV, Human Papilloma virus) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่เป็นสาเหตุการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก จากการมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปาก (Oral sex)
  • เคยเป็นโรคมะเร็งในบริเวณศีรษะและลำคอมาก่อน
มะเร็งช่องปากมีอาการอย่างไรบ้าง?
อาการที่พบได้ในผู้ป่วยโรคมะเร็งช่องปาก ได้แก่
  • มีฝ้าสีขาว (Leukoplakia) หรือสีแดง (Erythroplakia) ในเยื่อเมือกบุช่องปาก และ/หรือลิ้น
  • มีแผลในช่องปากที่รักษาไม่หายเป็นเวลานานเกิน 2-3 สัปดาห์ขึ้นไป
  • มีตุ่ม หรือก้อนในช่องปากที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมักไม่มีอาการเจ็บปวด
  • ฟันโยก หรือหลุด หรือใส่ฟันปลอมไม่ได้ เนื่องจากมีก้อนเนื้อบริเวณเหงือก พื้นปาก หรือเพดานปาก
  • มีปัญหาในการเคี้ยวอาหาร หรือการกลืนอาหาร จากการอุดกั้นของก้อนเนื้อ หรือจากการเจ็บจากแผลมะเร็ง
  • มีเลือดออกผิดปกติในช่องปากจากแผลมะเร็ง
  • มีก้อนที่ลำคอ ซึ่งคือ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอโต คลำได้จากมีโรคมะเร็งลุกลาม แต่มักไม่มีอาการเจ็บปวด
อนึ่ง หากโรคมะเร็งช่องปาก แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ก็อาจมีอาการตามอวัยวะนั้นๆที่โรคแพร่กระจายไปได้ เช่น มะเร็งกระจายไปกระดูก อาจมีอาการปวดตามกระดูกในส่วนต่าง ๆที่โรคแพร่กระจายไป มะเร็งช่องปากมีกี่ระยะ?
มะเร็งช่องปากแบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ
  • ระยะที่ 1ก้อน/แผลมะเร็งมีขนาดโตน้อยกว่า หรือเท่ากับ 2 เซนติเมตร
  • ระยะที่ 2ก้อน/แผลมะเร็งมีขนาดโตมากกว่า 2 เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 4 เซนติเมตร
  • ระยะที่ 3ก้อน/แผล มะเร็งมีขนาดโตมากกว่า 4 เซนติเมตร และ/หรือ มีการลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอ 1 ต่อมซึ่งขนาดโตไม่เกิน 3 เซนติเมตร เกิดขึ้นเพียงข้างเดียวของลำคอ
  • ระยะที่ 4ก้อน/แผล มะเร็งมีการลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ และ/หรืออวัยวะข้างเคียง และ/หรือ มีโรคลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่คอ 1 ต่อมแต่มีขนาดโตกว่า 3 เซนติเมตร และ /หรือ มีโรคลุกลามเข้าต่อม น้ำ เหลืองมากกว่า 1 ต่อม และ/หรือ ลุกลามเข้าต่อมน้ำ เหลือง ลำคอทั้ง 2 ข้าง และ/หรือ มีโรคแพร่กระจายเข้ากระแสเลือด (โลหิต) ไปยังอวัยวะอื่นๆ ที่พบได้บ่อยคือ ปอด ตับ และกระดูก
รักษามะเร็งช่องปากอย่างไร?
ในการดูแลรักษาโรคมะเร็งช่องปากนั้น มีการรักษาหลักๆ 3 วิธี คือ การผ่าตัด รังสีรักษา และยาเคมีบำบัด ส่วนยารักษาตรงเป้ายังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษา และยายังมีราคาแพงมหาศาลเกินกว่าผู้ป่วยทุกคนจะเข้าถึงยาได้
  1. การผ่าตัด มัก ใช้รักษาโรคระยะที่ 1 ระยะที่ 2 หรือระยะที่ 3 ซึ่งจะผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งร่วมกับเนื้อเยื่อปกติรอบๆก้อนมะเร็งออก และอาจทำการผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองลำคอออกด้วย หลังผ่าตัด แล้วหากมีข้อบ่งชี้ อาจให้การรักษาต่อด้วยการใช้รังสีรักษา และ/หรือ การให้ยาเคมีบำบัด
  2. การใช้รังสีรักษา ซึ่งมีอยู่ 2 วิธี คือ การฉายรังสี และการฝังแร่ วิธีเลือกการรักษานั้นขึ้นอยู่กับขนาด และตำแหน่งของก้อนมะเร็ง โดยทั้ง 2 วิธีนี้เป็นการรักษาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งเฉพาะที่ และ/หรือ ต่อม น้ำเหลืองบริเวณลำคอ และการรักษาอาจใช้รังสีรักษาเพียงวิธีการเดียว หรือใช้ร่วมกับการผ่าตัด และ/หรือการใช้ยาเคมีบำบัด ทั้งนี้ขึ้นกับข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ และดุลพินิจของแพทย์
  3. การให้ยาเคมีบำบัด เป็นการให้ยาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งทั่วร่าง กาย โดยการรักษาอาจใช้ร่วมกับการผ่าตัด และ/หรือ การใช้รังสีรักษา หรืออาจให้ยาเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียวหากเป็นการรักษาในผู้ป่วย ที่มีโรคแพร่กระจายเข้ากระแสเลือดไปยังอวัยวะอื่นๆ เช่น ปอด หรือ ตับ
การรักษามะเร็งช่องปากมีผลข้างเคียงอย่างไร?
ผลข้างเคียง (ผลแทรกซ้อน) จากการรักษาในแต่ละวิธีนั้นจะแตกต่างกันตามแต่ละวิธีที่ผู้ป่วยได้รับ และผลข้างเคียงอาจพบได้มากขึ้นหากผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยหลายๆวิธีร่วม กัน
  • ผลข้างเคียงจากการผ่าตัด เช่น อาการปวด การมีเลือดออกจากแผลผ่าตัด การติดเชื้อ การสูญเสียเนื้อเยื่อ/อวัยวะที่ผ่าตัด และการบาดเจ็บจากผ่าตัดถูกอวัยวะข้างเคียง
  • ผลข้างเคียงจากการรังสีรักษา คือ ในเรื่องของผิวหนัง และเนื้อเยื่อต่างๆที่ได้รับรังสี (การดูแลผิวหนังและผลข้างเคียงต่อผิวหนังบริเวณฉายรังสีรักษา และการดูแลตนเองเมื่อฉายรังสีบริเวณศีรษะและลำคอ)
  • ผลข้างเคียงจากการให้ยาเคมีบำบัด เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ไขกระดูกทำงานต่ำลง ทำให้มีภาวะซีด ภาวะเกล็ดเลือดต่ำทำให้มีเลือดออกได้ง่าย และมีเม็ดเลือดขาวต่ำ (ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำจากเคมีบำบัดและ/หรือรังสีรักษา)
ป้องกันมะเร็งช่องปากได้อย่างไร?
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคมะเร็งช่องปาก แต่มีข้อแนะนำ เพราะอาจลดโอกาสเกิดโรคนี้ได้บ้าง คือ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคดังกล่าวแล้วที่หลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะ การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญดังกล่าวแล้ว นอกจากนั้นควรดูแลสุขภาพในช่องปากทุกวัน ที่สำคัญคือ แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งเมื่อตื่นนอนเช้า และก่อนเข้านอน ใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละครั้งก่อนแปรงฟันเข้านอน และพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพในช่องปากและฟัน ทุกๆ 6-12 เดือน หรือบ่อยตามทันตแพทย์แนะนำ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : www.haamor.com

Share

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites