วัน ที่ 13
เมษายนของทุกปี
นอกจากจะถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยหรือวันมหาสงกรานต์แล้ว
ยังเป็นวันสำคัญอีกวันคือ “วันผู้สูงอายุ” ด้วย
ปัจจุบันสังคมไทยกำลังก้าวสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ
ทำให้ต้องหันมาใส่ใจและให้ความสำคัญกับผู้สูงวัยกันมากขึ้น
โดยเฉพาะในเรื่องสุขภาพ
ซึ่งในวัยนี้จะต้องระมัดระวังและใส่ใจดูแลมากกว่าวัยอื่นๆ
เพราะยิ่งอายุเยอะก็มักจะเจอปัญหาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
เยอะไปตามอายุด้วยเช่นกัน ดังนั้นวันนี้
โรงพยาบาลกรุงเทพจะขอรวบรวมสารพันโรคที่ผู้สูงอายุควรระวังมาฝากกัน
สำหรับโรคที่มักจะพบในวัยนี้ ได้แก่
1.โรคข้อเสื่อม
เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่ในผู้สูงอายุ โดยข้อที่พบอาการเสื่อมได้มาก
คือข้อที่รับน้ำหนักตัว เช่น ข้อเข่า
เมื่อผู้ป่วยอายุมากขึ้นมักมีน้ำหนักตัวที่มากขึ้นด้วย
และเริ่มมีโครงสร้างภายในข้อไม่เป็นปกติ
จึงเกิดความเปลี่ยนแปลงความผิดปกติภายในข้อ อันประกอบด้วย ผิวของข้อเข่า
ซึ่งเป็นกระดูกอ่อน เริ่มสึกหรอ ทำให้ผิวข้อไม่เรียบ การเคลื่อนไหวข้อ
มีอาการติดขัด ฝืด หรือเสียงดังคล้ายกระดาษทรายถูกัน
กระดูกรอบข้อเกิดการปรับตัว โดยสร้างกระดูกงอกขึ้นภายในข้อ
ทำให้ข้อเคลื่อนไหวได้น้อยลง กระดูกบริเวณข้อเข่า และรอบๆ ข้อ บางลง
เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่เริ่มเดินน้อยลง
อาการผิดปกติของผู้ป่วยที่เป็น
โรคข้อเข่า เสื่อมในระยะแรก ประกอบด้วย อาการปวดอาจร่วมกับการมีข้อเข่าบวม
อาการขัดที่ข้อ โดยอาการจะเป็นมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวมากขึ้นของข้อ
ในขณะเหยียดและงอข้อเข่าจะมีอาการปวด และหรือขัดในข้อมากขึ้น
และมีเสียงลั่นในข้อ
ซึ่งอธิบายจากการที่ผิวกระดูกภายในข้อเริ่มไม่เรียบและมีกระดูกงอกเกิดขึ้น
อาการปวดที่เกิดในผู้ป่วยบางรายทำให้เกิดการปรับตัวด้วยการไม่เหยียด
หรืองอข้อเข่าจนสุด เมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น ทำให้เกิดปัญหาข้อติดขัด
และเคลื่อนไหวไม่เต็มวงของการงอเข่าตามมา เมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น
หรือข้อที่เสื่อมอักเสบนั้นถูกใช้งานมากอย่างต่อเนื่อง
ก็ทำให้อาการผิดปกติเหล่านี้เป็นมากขึ้นได้โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่เมื่อมาพบ
แพทย์ก็มักจะมาเมื่ออาการต่างๆ เกิดขึ้นพอควรแล้ว
หรือไม่สามารถประกอบภารกิจประจำวันได้เหมือนเดิม ซึ่ง อาการหลักๆ ก็คือ
อาการปวด ขัด บวม ของข้อเข่า
หรือในรายที่มีข้อเข่าโก่งอยู่บ้างแล้วก็มักจะมาด้วยเรื่องเข่าผิดรูป
หรือทำให้เกิดปัญหาปวดมากขณะเปลี่ยนท่าเช่นจากนั่งเป็นยืน
เมื่อเกิดปัญหาข้อเข่าเสื่อมขึ้นแล้ว
ก็ย่อมมีอาการของโรคซึ่งจะสัมพันธ์กับความรุนแรงของโรค
ถ้าหากว่าอาการที่เกิดขึ้นน้อย ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมแต่เนิ่นๆ
ก็สามารถชะลอการเสื่อมของข้อเข่านั้นๆ ได้
วิธีการที่จะช่วยให้ผู้ป่วยชะลอ
การเสื่อม ของข้อเข่านั้น ประกอบด้วยวิธีหลักๆ ดังนี้
หลีกเลี่ยงท่างอข้อเข่ามากๆ เช่น นั่งยองๆ นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ
และนั่งคุกเข่า หลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันไดหลายๆ ชั้น ควบคุมน้ำหนักตัวให้ดี
ไม่ให้อ้วน หมั่นขยันบริหารกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าอยู่เสมอ
โดยเฉพาะกล้ามเนื้อด้านหน้าของต้นขา
ทานยาแก้ปวดเมื่อจำเป็นหรือทานเป็นครั้งคราว
ใช้ไม้เท้าช่วยเมื่อต้องเดินเป็นระยะทางไกล หรือเดินในที่ไม่เรียบ
2.โรคกระดูกพรุน
เป็นอีกโรคที่พบได้มากในผู้สูงอายุ
โรคกระดูกพรุนเกิดจากการลดลงของปริมาณกระดูกในร่างกายร่วมกับมีการเปลี่ยน
แปลงโครงสร้างภายในของกระดูก เป็นผลให้ความแข็งแรงของกระดูกโดยรวมลดลง
และเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกหักได้
โดยเฉพาะผู้หญิงมีโอกาสกระดูกหักจากโรคนี้มากถึง 30-40%
ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน เป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุนมาก
เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง
ทำให้มวลกระดูกของผู้หญิงในกลุ่มวัยนี้ลดลงถึงร้อยละ 3-5 ต่อปี
นอกจากนี้ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนยังพบได้ในภาวะผู้ป่วยที่ได้
รับการตัดรังไข่ 2 ข้าง
ผู้ป่วยที่ได้รับแคลเซียมและวิตามินดีน้อยกว่าความต้องการของร่างกาย
ผู้ป่วยที่รับประทานยาบางชนิดเช่นสารสเตียรอยด์หรือยากันชักบางชนิดและการ
สูบบุหรี่ก็อีกเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากขึ้น
โดย
ทั่วไปผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกพรุนจะไม่มีอาการใด ๆ
จนกว่าจะมีอาการแสดงซึ่งได้แก่กระดูกหัก
ตำแหน่งที่พบบ่อยในโรคกระดูกพรุนได้แก่บริเวณข้อสะโพก,ข้อมือหรือกระดูก
สันหลังทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ นอกจากนี้ อาการหลังโกง
หรือตัวเตี้ยลงมากกว่า 2
เซนติเมตรนั้นอาจเป็นอาการของโรคกระดูกพรุนที่มีการยุบตัวลงของกระดูก
สันหลังจึงเป็นภัยเงียบเพราะคนไข้จะไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้แล้ว
โรคกระดูกพรุนวินิจฉัยได้จากการตรวจค่าความหนาแน่นของกระดูกด้วย
เครื่องมือ DEXA นอกจากนี้ยังสามารถตรวจเลือดเพื่อหาความผิดปกติอื่นๆ เช่น
การขาดวิตามินดี และสามารถตรวจประเมินอัตราการสร้างและสลายของกระดูกได้
การตรวจเพิ่มเติมนี้เพื่อใช้ในการตัดสินใจวางแผนการรักษาและติดตามผลการ
รักษาอย่างเหมาะสมต่อไป สำหรับการรักษาโรคกระดูกพรุนด้วยยาในปัจจุบันมีอยู่
2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ยากลุ่มที่ลดอัตราการสลายกระดูก
และยากลุ่มที่เสริมสร้างมวลกระดูก ทั้งนี้การให้ยา
แพทย์จำเป็นต้องตรวจคัดกรองผู้ป่วย เพื่อพิจารณาให้ยาตามความจำเป็น
จึงแนะนำให้ผู้สูงอายุโดยเฉพาะผู้หญิงหลังหมดประจำเดือนควรมาตรวจภาวะกระดูก
พรุน ผู้หญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
ควรเสริมการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ผักใบเขียว นม
และงาดำ โดยทั่วไปแล้วผู้สูงอายุ ควรได้รับแคลเซียม วันละ 1200 มิลลิกรัม
ควบคู่กับวิตามินดี 800 ไอยู
นอกจากนี้ควรเพิ่มการออกกำลังกายที่เป็นการลงน้ำหนักที่ข้อ
เช่นการยกน้ำหนักและการเดิน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
และควรมีการออกกำลังกายกลางแจ้งในเวลาเช้าหรือเย็น
เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินดี
3.โรคความดันโลหิตสูง
เป็นโรคที่มีความสำคัญมากโรคหนึ่งในผู้สูงอายุ
โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องรักษาและควบคุมตลอดชีวิต
มากกว่าร้อยละ 90
ของโรตความดันโลหิตสูงเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนโดยปัจจัยเสี่ยงที่
ทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงได้แก่ การมีความเครียดสูง
บริโภคอาหารรสเค็มหรือเกลือโซเดียมมาก ในผู้สูงอายุ
มีการผนังหลอดเลือดแดงมีการแข็งตัวขึ้นและเสียความยืดหยุ่นอาจจะมีผลให้ความ
ดันโลหิตในหลอดเลือดสูงขึ้น ความดันโลหิตสูง คือ
ภาวะความดันในหลอดเลือดแดงสูงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 140/90 มม.ปรอทขึ้นไป
โดยวัดขณะนั่งพัก 5-10 นาทีที่ไม่ได้สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์
และได้ค่าสูงตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไปในเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์
โรคความดันโลหิตสูงระยะแรกส่วน
ใหญ่ไม่มี อาการมีเพียงส่วนน้อยที่มีอาการและที่พบได้บ่อย คือ
ปวดมึนท้ายทอย ตึงที่ต้นคอ ปวดศีรษะ
สำหรับผู้ที่มีความดันสูงรุนแรงอาจมีอาการเหล่านี้ เช่น อ่อนเพลีย
เหนื่อยง่าย ใจสั่น มือเท้าชา ตามัว อัมพาต หรือเสียชีวิตเฉียบพลัน เป็นต้น
โรคนี้ถ้าไม่ได้รักษาเป็นเวลานานๆ
ก่อให้เกิดความเสียหายและทำให้เกิดอาการของภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญต่างๆ
ได้แก่ ภาวะหลอดเลือดสมองตีบหรือแตกทำให้เป็นอัมพาต, หัวใจล้มเหลว,
การทำงานของไตเสื่อมลง ทำให้เกิดโรคไตวายเรื้อรัง
เป้าหมายของการรักษาความดันโลหิตสูง คือการควบคุมให้ต่ำกว่า 140 / 90
มม.ปรอท และผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือไตเรื้อรัง ควรคุมให้ต่ำกว่า 130/80
มม.ปรอท
แนวทางการรักษา
มีดังนี้ เปลี่ยนพฤติกรรมสู่การสร้างสุขภาพที่ดี
เพื่อลดความดันและปัจจัยเสี่ยง
ผู้ที่มีความดันสูงเพียงเล็กน้อยความดันจะลดเป็นปกติได้โดยไม่ใช้ยา ได้แก่
เลิกบุหรี่และเหล้า ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดอาหารรสจัด (หวาน มัน เค็มจัด)
เพิ่มรับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืช ปลาและดื่มนมไขมันต่ำ ลดน้ำหนักส่วนเกิน
และรู้จักคลายเครียด สำหรับผู้ที่ความดันยังคงสูงกว่า
140/90 มม.ปรอท หลังจากปรับพฤติกรรมแล้วควรปรึกษาแพทย์ให้ยาลดความดันโลหิต
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ปัจจุบันมียาใหม่ๆ
ที่มีคุณภาพให้ผลดีในการรักษาและควบคุมความดันให้อยู่ในระดับปกติ เช่น
ขับเกลือและน้ำออกทางปัสสาวะ ลดอัตราการเต้นของหัวใจ ขยายหลอดเลือด เป็นต้น
ในผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงต้องติดตามการรักษา
เพื่อประเมินการควบคุมความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ
และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจปัสสาวะและเลือด ตรวจคลื่นหัวใจ
เป็นต้น
4.โรคมะเร็ง
ซึ่งโรคมะเร็งหลายชนิดเป็นโรคที่พบมากขึ้นตามอายุ
โรคมะเร็งเกิดจากการที่โรคที่เซลล์หรือเนื้อเยื่อของร่างกายมีการเปลี่ยน
แปลงแบ่งตัวแบบกระจายอย่างรวดเร็ว
โดยอาจลุกลามไปยังอวัยวะใกล้เคียงหรือแพร่กระจายไปตามอวัยวะที่สำคัญต่างๆ
โรคมะเร็งจะไม่ติดต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง
โรคมะเร็งบางชนิดอาจจะมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ เช่น มะเร็งเต้านม
มะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมาก ถ้ามีประวัติครอบครัว
ก็อาจจะมีโอกาสโรคสูงกว่าคนทั่วไป
สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
แต่มะเร็งมีสาเหตุส่งเสริมได้จากหลายสาเหตุ เช่น การสูบบุหรี่
จะเพิ่มโอกาสการเกิดโรคมะเร็งปอด มะเร็งหลอดอาหารแลและมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
การดื่มสุราเพิ่มโอกาสเกิดโรคตับแข็งซึ่งอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งตับตามมา
โรคมะเร็งหลายชนิดสามารถตรวจพบเจอได้ตั้งแต่ระยะ
เริ่มต้นทำให้รักษาหายขาดได้
ดังนั้นการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งหลายชนิดจึงมีความสำคัญ
ใน
ผู้สูงอายุหลังอายุ 50 ปีขึ้นไปควรมีการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้
โดยการตรวจอุจจาระ
หรือส่องกล้องตรวจลำไส้ซึ่งเป็นวิธีการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพใน
การประเมินปัญหาในลำไส้ใหญ่
และในผู้หญิงควรมีการตรวจแมมโมแกรมเต้านมซึ่งเป็นการตรวจด้วยรังสีเอกซเรย์
(X-Rays) ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อค้นหาความผิดปกติที่เต้านม
สามารถตรวจพบมะเร็งเต้านมได้ตั้งแต่ระยะแรกๆ
ที่ก้อนมะเร็งยังมีขนาดเล็กเกินกว่าแพทย์จะคลำได้ โดยปกติควรมีการตรวจทุก
1-2 ปี
5.โรคต้อกระจก
เกิดจากการขุ่นของเลนส์ตาหรือแก้วตา
ซึ่งโดยปกติจะมีลักษณะใสทำหน้าที่รวมแสงให้ตกลงบนจอประสาทตาพอดี
สำหรับอาการของต้อกระจกส่วนใหญ่
เลนส์แก้วตาจะเริ่มขุ่นมัวจากบริเวณส่วนกลาง ในที่มีแสงน้อย
เมื่อม่านตาขยาย แสงสามารถผ่านเข้ามาทางส่วนอื่นของเลนส์แก้วตาได้
อาการของโรคต้อกระจกจะมีสายตาค่อย ๆ มัวลงเหมือมีฝ้าหรือหมอกบัง
เห็นภาพซ้อน บางรายอาจมีสายตาสั้นขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนแว่นบ่อยๆ
จนกระทั่งแว่นตาก็ไม่สามารถช่วยได้ หรือเห็นสีต่างๆ ผิดเพี้ยนไปจากเดิม
สีจางลงหรือไม่สดใสเท่าที่เคยเห็น บางคนอาจเกิดการพร่าเวลาขับรถตอนกลางคืน
สาเหตุ
ที่พบบ่อยที่สุด คือ ในผู้สูงอายุ เมื่ออายุมากขึ้น
เลนส์แก้วตาจะขุ่นเพิ่มขึ้น จึงมีผลให้การมองเห็นลดลง
นอกจากนี้การใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์
เป็นเวลานานก็สามารถทำให้เกิดต้อกระจกได้ด้วยเช่นกัน
ในกรณีที่ปล่อยทิ้งไว้นาน ต้อกระจกอาจสุก และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเช่น
ต้อหิน หรือมีการอักเสบภายในลูกตา
ทำให้มีตาแดงและปวดตาอย่างมากต้องรีบลอกต้อกระจกออกทันที
ซึ่งหากปล่อยถึงระยะดังกล่าวอาจทำให้เกิดตาบอดได้ การที่ต้อกระจกกลายเป็นต้อหินเพราะต้อกระจกพองตัวไปกดในทางระบายน้ำของลูกตา หรือต้อกระจกละลายตัวแล้วเกิดการอักเสบในลูกตา
ในปัจจุบันยังไม่มียารับประทาน
หรือยาหยอดชนิดใดที่จัดว่าได้ผลดีในการรักษาต้อกระจก
และยังไม่มีเลเซอร์ที่สามารถสลายต้อกระจกได้ การรักษาหลักคือ
การลอกหรือผ่าเอาต้อกระจกนั้นออกโดยจักษุแพทย์
ปัจจุบันนิยมผ่าตัดโดยวิธีสลายต้อกระจก
โดยใช้เครื่องกำเนิดคลื่นเสียงความถี่สูง
หลังจากผ่าเอาต้อกระจกซึ่งขุ่นมัวออกแล้ว
จักษุแพทย์ก็จะนำเลนส์แก้วตาสังเคราะห์ใส่แทนตำแหน่งเดิม
เพื่อให้ผู้ป่วยมองเห็นได้ชัดขึ้นอีกครั้ง
เนื่องจากเลนส์สังเคราะห์นี้จะใสเหมือนกระจก
แก้วตาเทียมนี้ไม่ต้องถอดออกมาล้างหรือเปลี่ยน และสามารถอยู่ได้ไปตลอดชีวิต
6.โรคสมองเสื่อม
ตามข้อมูลทางสถิติ พบว่าอยู่ในอัตราสูงถึง 5-8 เปอร์เซ็นต์ของผู้อายุเกิน
65 ปี และจะมีอัตราการเกิดโรคสูงถึง 20 เปอร์เซนต์ และถ้าอายุเกิน 90
ปีขึ้นไปจะพบถึงครึ่งหนึ่งที่มีภาวะสมองเสื่อมเกิดขึ้นในผู้ป่วยภาวะสมอง
เสื่อมจะพบว่ามีปริมาณ หรือจำนวนเซลล์ของสมองที่ทำงานลดลง
จึงทำให้มีปัญหาด้านความจำ ความคิด
อารมณ์และบุคลิกภาพของตนผิดไปจากเดิมอย่างมาก
ใน
ผู้สูงอายุ สาเหตุสมองเสื่อมที่พบบ่อยๆ มีสาเหตุ 2 ประการ คือ
โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคอัมพาต ไม่ว่าจะเกิดจากชนิดหลอดเลือดตีบ
หรืออุดตัน หรือแตกก็ตาม โรคนี้พบได้ประมาณ 20% โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s
disease) เป็นโรคสมองเสื่อมที่พบบ่อยที่สุด และจะมีอาการเลวลงเรื่อยๆ
โดยพบราว 70-80% ของผู้ที่มีสมองเสื่อม
โรคนี้จะเป็นสาเหตุทำให้สมองฝ่ออย่างรวดเร็ว และมีปัญหาด้านความจำ, การพูด,
ความคิด, การกระทำ, อารมณ์, การดำรงชีพ และบุคลิกภาพผิดไปอย่างชัดเจน
ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของโรคนี้ว่าเกิดจากสิ่งใด
มีหลายคนสันนิษฐานว่าเกิดจากพันธุกรรม การติดเชื้อ
สารพิษตลอดจนระบบภูมิต้านทาน
โดยปรกติแพทย์จะเป็นผู้ให้การวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อมโดยอาศัยข้อมูลจาก
ประวัติ ระยะเวลาเป็นโรค อาการ อาการแสดง ประวัติครอบครัว
การตรวจร่างกายทางระบบประสาทโดยละเอียด
และการสืบค้นหาสาเหตุของโรคดังกล่าว ซึ่งอาจประกอบด้วย การเจาะเลือด
การเอกเรย์ การตรวจคลื่นสมอง การเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง
การตรวจคอมพิวเตอร์สมอง
การตรวจการไหลเวียนของเลือดสู่สมองและบางครั้งอาจมีการตรวจชิ้นเนื้อสมองโดย
การผ่าตัดพิสูจน์ ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาตัวยาต่างๆ มากมาย
ในการรักษาโรคนี้
แต่ยังไม่พบว่ามียาชนิดใดที่สามารถป้องกันหรือรักษาโรคให้หายขาดได้
การรักษามุ่งเน้นที่การรักษาตามตามอาการแบบประคับประคอง
เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ญาติผู้ดูแลสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยให้มีความสุข
ไม่วุ่นวายหรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายต่างๆได้
ในรายที่มีอาการทางอารมณ์รุนแรงเอะอะโวยวายหรือวุ่นวายมากๆ บางครั้งก็จำ
เป็นต้องให้ยาช่วยระงับจิตใจผู้ป่วย
ขนาดยาและระยะเวลาที่ให้จำเป็นต้องอยู่ในความควบคุมของแพทย์
วิธีการง่ายๆ ในการดูแลตัวเองสำหรับผู้สูงอายุ คือการพักผ่อนให้เพียงพอ
การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง โดยทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ
ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้อีกทางหนึ่ง
บทความโดย
แพทย์หญิงพัณณิดา วัฒนพนม
ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์กรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ